วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เทคนิคการเขียนบทละคร

ในที่นี้หมายถึง การเขียนบทละครให้มีปัจจัยต่าง ๆ ที่สามารถนำไปใช้ในการแสดงได้ ปัจจัยในการเขียนที่สำคัญ 3 ประการ คือ
  1. การแบ่งขั้นตอนของโครงเรื่องออกให้ชัดเจนว่า เรื่องดำเนินจากจุดเริ่มต้นแล้วเข้มข้นขึ้น และคลี่คลายไปสู่จุดจบอย่างไร
          1.1 การเริ่มเรื่อง เป็นการแนะนำผู้ดูให้เข้าใจความเดิมและตัวละครสำคัญในเรื่อง
          1.2 การขยายเรื่อง เป็นการดำเนินเรื่องให้เห็นปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น แสดงพฤติกรรมของตัวละครต่างๆ ตามที่กำหนดไว้
          1.3 การพัฒนาเรื่อง เป็นการแสดงความขัดแย้งขอตัวละครในเรื่อง ทำให้การแสดงเกิดความเข้มข้นขึ้น
          1.4 เป็นการที่ที่พระเอกตกอยู่ในสถานะการณ์ที่ล่อแหลม ถึงขั้นต้องมีการตัดสินใจกระทำบางการบางประการให้เด็ดขาดลงไป
          1.5 การสรุปเรื่อง หรือการดำเนินเรื่องไปสู่จุดจบบริบูรณ์
2. การแบ่งเรื่องออกเป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อสถานะการณ์ต่างๆ ในแต่ละตอนเป็นไปตามวัตถุประสงค์โดยแบ่งได้ 6 ประการคือ
          2.1 แสดงความปรารถนาของตัวละคร
          2.2 รักษาความต่อเนื่องของเนื้อเรื่องโดยไม่ทำลายวัตถุประสงค์หลักของเรื่อง
          2.3 ทำให้การดำเนินเรื่องแต่ละตอนประทับใจ
          2.4 สอนเงื่อนงำไว้ในกาละเทศะที่สมควร
          2.5 บรรจุปัจจัยที่ทำให้เกิดความประหลาดใจ
          2.6 เปิดเผยสิ่งต่างๆที่ควรเปิดเผยในกาละเทศะที่สมควร
     3. ลักษณะ คือ กลวิธีในการนำฉันทลักษณ์ต่างๆ มาใช้ในการแสดงออกของสถานะการณ์และความคิดของลักษณะมี 36 วิธี ซึ่งพอจะสรุปได้ว่าสำนวนที่จะนำมาประพันธ์เป็นบทบรรยายและบทเจรจา ต้องคำนึงถึง
          3.1 พื้นเพของตัวละคร
          3.2 ความรู้สึกที่ต้องการให้เกิดกับคนดู
          3.3 ความแจ่มแจ้งของสาระในเรื่องที่ต้องการถ่ายทอดให้คนดูเข้าใจ
          3.4 ความสัมพันธ์กับลักษณะของคนตรีและทำนองเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง
การเขียนบทละคร - อาจเขียนจบฉากเดียวหรือหลายฉากก็ได้ เรียกตอนหนึ่งๆว่าองก์ ก็ได้
ฉาก - บอกให้ทราบสถานที่ชัดเจน เช่น ในป่าลึก หาดทราย ในบ้าน หรือในห้อง บอกเวลาในขณะนั้นด้วย
ตัวละคร - บอกเพศ ชื่อและชื่อสกุล อายุรูปร่างลักษณะ
การบรรยายนำเรื่องเพื่อสร้างบรรยากาศ  - ในกรณีเป็นเรื่องยาวควรมีอย่างยิ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องสั้นอาจไม่จำเป็น
บทสนทนา  - มีความสำคัญมาก เพราะการดำเนินเรื่องอยู่ที่การสนทนาของตัวละครใช้ภาษาพูดให้เหมือนชีวิตจริงๆ ควรเป็นประโยคสั้นๆเข้าใจง่าย อาจแทรกอารมณ์ขันลงไป จะทำให้เรื่องออกรสยิ่งขึ้น
ตอนจบ  - ต้องจบอย่างมีเหตุผล จบอย่างมีความสุข หรือเศร้า หรือจบลงเฉยๆด้วยการทิ้งท้ายคำพูดให้ผู้ชมคิดเอง อาจเป็นถ้อยคำประทับใจเหมือนละลอกคลื่นที่ยังคงกระทบฝั่ง หลังจากได้ทิ้งก้อนหินลงไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ   การขึ้นต้นและการจบเรื่อง เป็นลีลาและศิลปะของผู้เขียนโดยเฉพาะที่จะทำให้ผู้ชมพอใจ แต่เมื่อจบแล้วต้องให้เข้าใจเรื่องโดยตลอด
แหล่งทีมา : http://tyn-pps.exteen.com/20090920/entry  

หลักการเขียนบทละคร

1. โครงเรื่อง ต้องมีลักษณะกะทัดรัด ไม่ยืดยาว ดำเนินเรื่องฉับไว ลักษณะของโครงเรื่องขึ้นอยู่กับชนิดของเรื่อง แต่เรื่องสั้นที่สร้างความประทับใจผู้อ่านมักเป็นเรื่องสั้นชนิดผูกเรื่องโดยหักมุมจบให้ผู้อ่านคาดไม่ถึง
2. ตัวละคร ไม่ควรมีหลายตัว ต้องมีลักษณะสมจริง สะท้อนชีวิตหรือเป็นตัวแทนของบุคคลจริง  
3. ฉากต้องสมจริง ให้ภาพจินตนาการชัดเจน น่าสนใจ
4. ถ้อยคำหรือบทสนทนา สมจริง ใช้ภาษาประณีต คมคาย ชวนติดตาม 
แหล่งที่มา : https://sites.google.com/site/chaipon4256/khwam-ru-keiyw-kab-kar-kheiyn-bth-beuxng-tn


องค์ประะกอบของบทละคร

1.โครงเรื่อง (plot) หมายถึง การลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในละครอย่างมีจุดหมายปลายทาง และมีเหตุผล
การวางโครงเรื่อง คือ การวางแผนหรือการกำหนดเส้นทางของการกระทำของตัวละคร ทำให้เข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆโครงเรื่องที่ดีจะต้องมีความสมบูรณ์ในตัวของมันเอง มีความยาวพอเหมาะ ประกอบด้วย ตอนต้น กลาง จบ เหตุการณ์ทุกตอนมีความสัมพันธ์กันอย่างสมเหตุสมผล ตามกฎแห่งกรรม
โครงเรื่องที่บกพร่องตามทฤษฎีของอริสโตเติล (Aristotle) คือ โครงเรื่องประเภทที่ผู้เขียนนำเอาเหตุการณ์ต่างๆ มาต่อกันเป็นตอน โดยแต่ละตอนไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันเลย ถ้าแม้จะตัดตอนใดตอนหนึ่ง ก็ไม่กระทบกับโครงสร้างของเรื่องเลยแม้แต่น้อย
2.ตัวละคร และการวางลักษณะนิสัยตัวละคร (character and characterization)
ตัวละคร คือ ผู้กระทำ ผู้ที่ได้รับผลจากการกระทำในบทละครมีความสำคัญเป็นอันดับรองจากโครงเรื่อง
การวางลักษณะนิสัยตัวละคร คือ การที่ผู้เขียนกำหนดให้ตัวละครมีลักษณะนิสัยอย่างไร ตามความเหมาะสมของเรื่องราวที่เสนอ ส่วนพัฒนาการของนิสัยตัวละครนั้น หมายถึง การที่นิสัยใจคอหรือเจตคติเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตของตัวละคร มีพัฒนาการหรือเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากประสบเหตุการณ์ หรือเหตุการณ์มากระทบวิถีชีวิตตน

ตัวละครที่พบเห็นอยู่สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่
1. ตัวละครที่มีลักษณะเป็นแบบตายตัว (typed character)   เป็นตัวละครที่มองเห็นด้านเดียว “พระเอก” “นางเอก” “ผู้ร้าย” “ตัวโกง” “ตัวอิจฉา” ตัวละครเหล่านี้ไม่ว่าจะอยู่ในเรื่องใด ก็มักจะมีลักษณะคล้ายๆ กัน และมักมีพฤติกรรมเป็นไปตามความคาดหมาย ทำให้ผู้ชมสามารถติดตามเรื่องราวได้โดยง่าย
   2. ตัวละครที่เห็นได้รอบด้าน (well – rounded character)  ตัวละครประเภทนี้มีลักษณะคล้ายคนจริงๆ ต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดจึงเข้าใจตัวละครประเภทนี้ ซึ่งเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการของด้านนิสัยใจคอ หรือมีการเปลี่ยนแปลงเจตคติเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในชีวิต เนื่องจากผลกระทบของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตัวละคร ตัวละครประเภทนี้มักพบในโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ หรือในบทละครสมัยใหม่ที่มีลักษณะเป็นวรรณกรรมชั้นสูง

 ความสัมพันธ์ของตัวละครกับโครงเรื่อง หรือ “การกระทำ” ในละคร
    เหตุการณ์ต่างๆ ในละครจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีตัวละคร หรือเกตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่มีความหมาย ถ้ามิได้ไปมีผลกระทบกระเทือนต่อผู้หนึ่งผู้ใดในละคร ฉะนั้นมีเรื่องใดก็ต้องมีตัวละคร มีตัวละครก็ต้องมีเรื่อง ฉะนั้นตัวละครจะดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ ก็ต้องอาศัยการกระทำ เรื่องที่น่าสนใจ และชวนให้ติดตาม ดังนั้นจึงทำให้เรื่องกับตัวละครนั้นมีความสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นมาก
   ข้อบกพร่องของผู้เขียนบทละครที่ไม่ชำนาญ  คือ ไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ของตัวละครกับเรื่อง ด้วยมีการกระทำของตัวละครไป ไม่คำนึงถึงผลการกระทำ โดยที่ตัวละครไม่มีส่วนรับผิดชอบในการกระทำของตนเลย
   ดังนั้น สิ่งที่ผู้เขียนบทละครต้องคำนึงถึง คือ ลักษณะนิสัยของตัวละครกับการกระทำ จะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น
3. ความคิด หรือแก่นเรื่อง(thought)  ความคิดจัดอยู่ในความสำคัญอันดับที่ 3 ของละคร ซึ่งหมายถึง ข้อเสนอที่ผู้เขียนพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงจากเรื่องราว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในละคร ความคิดที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวในละครก็คือ จุดมุ่งหมายหรือความหมาย (premise) หรือในปัจจุบันนิยมใช้คำว่า “แก่น” (theme)

 4. การใช้ภาษา (diction) หมายถึง ศิลปการถ่ายทอดเรื่องราว และความคิดของผู้ประพันธ์ออกมาจากคำพูดของตัวละครหรือบทเจรจา ซึ่งอาจเป็นร้อยแก้ว หรือร้อยกรอง ศิลปการใช้ภาษาอาจเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะนำไปสู่การเขียนบทละครที่ดี ซึ่งผู้เรียนต้องศึกษา และวิเคราะห์ว่าบทละครเรื่องนั้นๆ เป็นละครประเภทใด รวมทั้งลักษณะ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต้องมีความสัมพันธ์กับการใช้ภาษา และภาษาที่ใช้ต้องไม่ง่ายหรือยากจนเกินไป อีกทั้งยังสามารถใช้แสดงออกถึงลักษณะนิสัยของผู้พูด อันจะนำไปสู่เหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไป
 5. เพลง (song)  หมายถึง ศิลปะการถ่ายทอดเรื่องราว และความคิดของผู้ประพันธ์ออกมา บทเพลงที่เป็นตัวละครจะต้องขับร้อง รวมไปถึงเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเวที และความเงียบด้วย (ในแง่ละคร)
ในการใช้เพลงจะต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์กับองค์ประกอบหลายอย่าง และพยายามกำหนดเพลงให้เป็นส่วนหนึ่งของบทละครเช่นเดียวกับบทเจรจา
6. ภาพ (spectacle) คือ บทบาทของตัวละคร ที่สามารถนำมาแสดงให้เห็นได้ด้วยใบหน้า ท่าทาง และจังหวะอาการเคลื่อนไหวที่แนบเนียน และเพิ่มพูนรสชาติให้แก่ละครเรื่องนั้นๆ
แหล่งที่มา : https://www.gotoknow.org/posts/327086




ข้อคำนึงในการเขียนบทละคร

  การเขียนบทจะให้สมบูรณ์นั้น ผู้เขียนบทจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ในการเขียนบท 
4.1  แนวคิดหลัก (Idea & Main Idea) เป็นเสมือน โครงหรือแก่นของเรื่องนั้นๆ ผู้เขียนบทจะต้องจับ หรือดึงเอาข้อมูลหรือเนื้อหาบางอย่างมาเป็นแกนของเรื่องให้ได้ 
4.2  การเลือกเรื่องผู้เขียนและผู้จัดรายการบทความต้องพิจารณาว่า บทความควรจะเป็นเรื่องอะไร ที่ส่วนใหญ่สนใจ เหตุผลที่จะเขียนเรื่องนั้น ตั้งประเด็นให้แน่นอนลงไปว่าจะเขียนเพื่อจุดประสงค์อะไร สนับสนุนหรือคัดค้านอะไร หรือเพียงแต่ให้ข้อเท็จจริงแล้วเขียนให้อยู่ในประเด็น  
4.3  การศึกษาค้นคว้า เมื่อกำหนดวัตถุประสงค์และวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายแล้วผู้เขียนบทต้องศึกษาค้นคว้าวิจัย รวบรวมข้อมูล เนื้อหาสาระต่างๆ มาวิเคราะห์แยกย่อยหัวเรื่องประเด็น กำหนดขอบเขตเนื้อหา ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมาย การค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียดเรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น  คุณภาพของบทจะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าบทนั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม โดยซักถามจากนักวิชาการที่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ค้นคว้าจากห้องสมุดหรือเอกสารสิ่งพิมพ์ที่จัดเก็บเอาไว้ เสร็จแล้วก็ลำดับเรื่องก่อนหลังตามความสำคัญของเหตุการณ์หรือเวลา   
4.4  การจัดลำดับข้อมูลหรือเนื้อหา การจัดทำลำดับเนื้อหา เรื่องราวของบทเรียน เป็นการนำกรอบเนื้อหา ที่แบ่งออกเป็นเฟรมๆ ตั้งแต่เฟรมแรกจนถึงเฟรมสุดท้าย นำมาลำดับเรื่องก่อนหลังตามความสำคัญของเหตุการณ์หรือเวลา การจัดลำดับเนื้อหาต้อง เข้าใจได้ง่าย ไม่สับสน วกวน หรือยืดยาว ประโยคแต่ละประโยคควรมีแนวความคิดเดียว เป็นประโยคสั้นๆ ที่มีความหมายจบในประโยคนั้น แต่เพื่อความน่าฟังควรจะสลับกับประโยคยาวบ้าง ตามแต่ความสำคัญของใจความ  
4.5  ความยาว สิ่งที่จำเป็นอีกประการหนึ่งสำหรับผู้เขียนบท ก็คือต้องทราบว่าเวลาสำหรับนำเสนอรายการนั้นมีระยะเวลาเท่าไร ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องเข้าใจถ่องแท้ เกี่ยวกับคุณลักษณะเฉพาะของสื่อ ที่เกี่ยวกับเวลาด้วยแล้วจึงกำหนดรูปแบบของรายการ 
4.6  การวางเค้าโครงเรื่องมีจุดประสงค์เพื่อให้งานชิ้นที่เขียนมีจุดหมายที่แน่นอนไม่วกเวียนออกนอกเรื่อง ทำให้วางแนวในการเขียนได้ถูกต้องและทำให้เขียนบทความตามที่ต้องการได้เร็วขึ้น และกำหนดบทนำ ตัวเรื่องและการจบให้มีหลักเกณฑ์ที่ดี แหล่งที่มา :  https://sites.google.com/site/chaipon4256/khwam-ru-keiyw-kab-kar-kheiyn-bth-beuxng-tn

การเขียนบทสัมภาษณ์

    การเขียนบทสัมภาษณ์เพื่อนำเสนอในสื่อต่าง ๆ  มีรูปแบบและเทคนิคในการเขียนแตกต่างกัน สำหรับงานเขียนแต่ละประเภทจะยึดรูปแบบการเขียนพื้นฐานทั่ว ๆ ไป คือ มีชื่อเรื่อง (title)  ความนำหรือเกริ่นนำ (intro)  ส่วนที่เป็นเนื้อหา(content)  และ  ส่วนปิดท้ายหรือสรุป (conclusion)  การเขียนบทสัมภาษณ์สามารถยึดหลักการเขียนดังกล่าวเป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะนักเขียนบทสัมภาษณ์ที่เพิ่งเริ่มต้น  เราอาจพบบทสัมภาษณ์บางเรื่องที่ไม่ได้ยึดหลักพื้นฐานดังกล่าว คือ ไม่มีส่วนนำหรือเกริ่นนำ ไม่มีส่วนท้ายหรือสรุปปิดท้าย  อาจเป็นเพราะพื้นที่ในการตีพิมพ์มีจำกัด จึงต้องมุ่งนำเสนอเนื้อหาจากการสัมภาษณ์ให้ได้มากที่สุด  ในการสัมภาษณ์บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องมีส่วนนำเพราะเป็นบุคคลที่รู้จักกัน
รูปแบบในการเขียนบทสัมภาษณ์ที่พบเห็นโดยทั่วไปนั้นดีอยู่แล้ว  สามารถจำแนกได้ 3 รูปแบบ1. การเขียนบทสัมภาษณ์แบบถาม-ตอบ
         เป็นบทสัมภาษณ์พื้นฐานที่นิยมเขียนกันมาก  เพราะเป็นการนำเสนอที่เรียบง่าย ไม่ต้องใช้เทคนิคการเขียนโดยเฉพาะด้านสำนวนภาษามากมายนัก เพียงแค่นำคำถามและคำตอบมาเรียบเรียงให้ได้ใจความสำคัญ และนำเสนอโดยเรียงลำดับเนื้อหาให้ชัดเจนเท่านั้น 
2. การเขียนบทสัมภาษณ์แบบร้อยเรียง
         เป็นการเขียนบทสัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์ได้ถอดความจากการสัมภาษณ์ แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นเรื่องราว โดยเป็นการเขียนที่ไม่จำเป็นต้องมีคำถามของผู้สัมภาษณ์ปรากฏอยู่ในบทสัมภาษณ์เสมอไป เป็นบทสัมภาษณ์ที่อาจมีการยกคำพูด (direct quote) สำคัญ ๆ ของผู้ให้สัมภาษณ์มาสอดแทรกในเนื้อหาบ้างเพื่อเป็นการเน้นย้ำ
3. การเขียนบทสัมภาษณ์แบบผสมผสาน
        คือการเขียนบทสัมภาษณ์ที่นำรูปแบบการเขียนแบบถาม-ตอบ และการเขียนแบบร้อยเรียงมาผสมกัน การเขียนรูปแบบนี้เป็นการสร้างสีสันให้บทสัมภาษณ์ไม่น่าเบื่อได้อีกรูปแบบหนึ่ง มักใช้กับการสัมภาษณ์ที่มีหลายช่วงเหตุการณ์ ซึ่งเนื้อหาเรื่องไม่ปะติดปะต่อกัน แต่คนสัมภาษณ์ต้องการเชื่อมโยงเหตุการณ์เข้าไว้ในบทสัมภาษณ์
แหล่งที่มา :https://aofzaa.wordpress.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2

ประเภทและหลักเกณฑ์ของบทสัมภาษณ์

การสัมภาษณ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
          1. การสัมภาษณ์แบบเป็นทางการ  เป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์ต้องเตรียมคำถามหรือแบบสัมภาษณ์ล่วงหน้าให้ครอบคลุมเนื้อหาหรือเรื่องราวที่ต้องการทราบจากผู้ถูกสัมภาษณ์
          2. การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ  เป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์เตรียมแต่ จุดมุ่งหมายไว้แล้วใช้วิธีการสนทนาซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็น  โดยผู้สัมภาษณ์ต้องพยายามให้ผู้ถูกสัมภาษณ์รู้สึกว่ามีบรรยากาศที่เป็นกันเอง  และอาจมีการป้อนคำถามนำบ้าง
หลักเกณฑ์ในการสัมภาษณ์ 
          1. ผู้สัมภาษณ์ต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนว่าต้องการรู้สิ่งใดจากผู้ถูกสัมภาษณ์
          2. ผู้สัมภาษณ์ต้องเตรียมคำถามหรือคำสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องไว้ล่วงหน้า
          3. ผู้สัมภาษณ์ต้องสร้างความเป็นกันเองโดยการยิ้มแย้มแจ่มใสแก่ผู้ถูกสัมภาษณ์
          4. ผู้สัมภาษณ์ควรรู้เรื่องที่ตนเองจะสัมภาษณ์เป็นอย่างดีเพื่อช่วยในการสรุปผล และช่วยในการตั้งคำถามเสริมระหว่างที่สัมภาษณ์
          5. ต้องมีการจดบันทึกผลการสัมภาษณ์อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์หวาดระแวง

แหล่งที่มา :  http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/unit5/level5-4.html

ขั้นตอนของการสัมภาษณ์

การสัมภาษณ์มีขั้นตอนในการดำเนินการ 3 ขั้น ดังนี้
1.  ขั้นเริ่มสัมภาษณ์  ผู้สัมภาษณ์ควรคำนึงถึงเทคนิคที่สำคัญ  ดังต่อไปนี้
              1.1 ผู้สัมภาษณ์จะต้องแนะนำตนเอง  บอกจุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์  พร้อมทั้งพยายามชี้แนะให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เห็นว่าเขามีส่วนสำคัญมากในการที่จะทำให้งานเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์  และจะต้องชี้แจงแก่ผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วยว่า  ข้อมูลครั้งนี้ถือเป็นความลับ  และถ้าจะบันทึกเทปต้องแจ้งแก่ผู้ถูกสัมภาษณ์ให้ทราบก่อนด้วย
              1.2 พยายามสร้างบรรยากาศ และสัมพันธภาพที่ดีในการสัมภาษณ์  โดยใช้เวลาเล็กน้อยสนทนาเรื่องที่ผู้ถูกสัมภาษณ์สนใจทั่ว ๆ ไปก่อน  เพื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์มีความคุ้นเคย  มีความรู้สึกเป็นมิตร  และไว้วางใจผู้สัมภาษณ์
        
2.  ขั้นสัมภาษณ์เนื้อหา  ผู้สัมภาษณ์ควรคำนึงถึงเทคนิค  ดังต่อไปนี้
              2.1 คำถามควรสั้นกะทัดรัด  และปล่อยให้ผู้ถูกสัมภาษณ์พูดอย่างเสรีเพื่อที่เขาจะได้รู้สึกว่าเขามีอิสระที่จะพูดตามที่เขาคิด
              2.2 อย่าวิพากษ์วิจารณ์  หรือสั่งสอนผู้ให้สัมภาษณ์  เมื่อผู้ให้สัมภาษณ์ให้ข้อมูลหรือมีพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับที่สังคมยอมรับ
              2.3  อย่าใช้คำถามที่เป็นการชี้แนะคำตอบ
              2.4 ในระหว่างสัมภาษณ์  ผู้สัมภาษณ์ไม่ควรจะเร่งรัด  หรือคาดคั้นคำตอบจากผู้ให้สัมภาษณ์
              2.5 ในกรณีที่ผู้สัมภาษณ์ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนหรือเป็นที่พอใจ  ถ้ายังไม่คุ้นเคยกันนักอาจจะผ่านไปก่อน เมื่อจบการสัมภาษณ์แล้วค่อยย้อนกลับมาถามใหม่ โดยกล่าวในเชิงทบทวนคำถาม  หรือทบทวนคำตอบแบบสุภาพ
        
3. ขั้นยุติการสัมภาษณ์  ควรกล่าวคำขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการสัมภาษณ์
แหล่งที่มา :  http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/unit5/level5-4.html


การจดบันทึกคำตอบในแบบสัมภาษณ์

การจดบันทึกคำตอบในการสัมภาษณ์  มีแนวปฏิบัติดังนี้
        1.  ต้องจดบันทึกทันทีหลังจากการสัมภาษณ์แล้ว  เพื่อกันลืมหรือสับสน
        2. รายละเอียดที่จะบันทึก ได้แก่  ชื่อผู้ให้สัมภาษณ์  ที่อยู่  วันที่สัมภาษณ์   ผลการสัมภาษณ์  ซึ่งประกอบด้วย  เรื่องที่สัมภาษณ์  คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์  ความคิดเห็นของผู้ให้สัมภาษณ์ที่มีต่อปัญหา  ข้อสังเกตที่ได้ในขณะสัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหานั้น ๆ สรุปข้อเสนอแนะและสรุปผลการสัมภาษณ์
        3. ควรบันทึกแต่เนื้อหาสาระเท่านั้น ไม่ควรใส่ความคิดเห็นของผู้สัมภาษณ์เพราะอาจก่อให้เกิดความเอนเอียงได้
        4. ถ้าไม่ได้คำตอบในการสัมภาษณ์ในคำถามใดผู้สัมภาษณ์ควรจะบันทึกเหตุผลไว้ด้วย
แหล่งที่มา :  http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/unit5/level5-4.html

การใช้การสัมภาษณ์

  การสัมภาษณ์มีลักษณะเหมือนการสอบปากเปล่า โดยใช้ประสาทสัมผัสเป็นสื่อ  ซึ่งจะต้องระมัดระวัง ดังนี้
            1. ผลของการสัมภาษณ์ขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้สัมภาษณ์  วิธีการ  และคำถามที่จะใช้  ผู้สัมภาษณ์จึงควรมีลักษณะดังนี้
                1.1  มีการเตรียมตัวให้พร้อม คำพูด  ท่าทาง  ต้องเหมาะสมถูกกาลเทศะ
                1.2  มีความคล่องแคล่วในการใช้คำถาม  และการสรุปผล
                1.3  มีการกระตุ้นเตือนในการใช้คำถามยั่วยุให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบคำถาม แต่ไม่ใช้คำพูดแบบตีโวหารหรือเล่นสำนวน
                1.4  พยายามถามเรื่องที่ผู้ถูกสัมภาษณ์อยากตอบ  และไม่ถามเชิงแนะคำตอบ
           2. ผู้ถูกสัมภาษณ์จะให้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความร่วมมือเป็นสำคัญ  ดังนั้นผู้สัมภาษณ์ควรปฏิบัติต่อผู้ถูกสัมภาษณ์  ดังนี้
               2.1  สร้างความเป็นกันเองเพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัด มีอิสระในการตอบ
               2.2  ให้ความสนใจ และความจริงใจ
               2.3 ไม่ควรถามในเรื่องที่ทำให้เสียศักดิ์ศรีหรือเป็นจุดบกพร่องที่รุนแรงของผู้ถูกสัมภาษณ์
          3. ควรมีการติดต่อนัดหมายและแจ้งวัตถุประสงค์ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ทราบล่วงหน้า
          4. พยายามอย่าให้มีอคติทางอารมณ์เกิดขึ้นกับผู้สัมภาษณ์หรือผู้ถูกสัมภาษณ์
          5. ไม่ควรใช้เวลาสัมภาษณ์ติดต่อกันนานเกินไป
แหล่งที่มา : http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/unit5/level5-4.html

ข้อดีและข้อเสียของการสัมภาษณ์

   ข้อดีของการสัมภาษณ์
         1. ใช้ได้กับคนทุกเพศ  ทุกวัย  แม้ผู้ที่อ่านหนังสือไม่ออก  หรือเขียนไม่ได้ก็สามารถให้ ข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ได้
         2.  การสัมภาษณ์เป็นการสร้างความเป็นกันเองกับผู้สัมภาษณ์โดยตรง
         3.  ผู้ถูกสัมภาษณ์สามารถซักถามคำถามให้เข้าใจก่อนที่จะตอบได้
         4.  ข้อมูลที่ได้มีความเชื่อถือได้มากกว่าแบบสอบถาม
         5.  ผู้ถูกสัมภาษณ์มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและซักถามเมื่อไม่เข้าใจได้
         6.  ผู้สัมภาษณ์สามารถอ่านความรู้สึกนึกคิดของผู้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องต่าง ๆ ได้

ข้อเสียของการสัมภาษณ์
         1.  ข้อมูลที่ได้ขึ้นอยู่กับผู้สัมภาษณ์โดยตรงได้แก่คุณสมบัติของผู้สัมภาษณ์ เช่น  บุคลิกภาพ  มนุษยสัมพันธ์  ไหวพริบ  การตัดสินใจ  เป็นต้น
         2. อารมณ์ของผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์  มีผลต่อความเที่ยงตรงของข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์
         3.  การสัมภาษณ์ต้องใช้เวลามากเพราะต้องสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล
         4. ข้อมูลที่ได้ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม  เช่น  สภาพอากาศ  แสง  เสียงรบกวน  เป็นต้น


แหล่งที่มา : http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/unit5/level5-4.html